3 อาการเตือน ถึงเวลาเปลี่ยนหมอนและที่นอน

3 อาการเตือน ถึงเวลาเปลี่ยนหมอนและที่นอน

การนอนหลับที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพ ควรให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนหมอนและที่นอนเมื่อพบอาการเหล่านี้ที่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเสื่อมสภาพของหมอนและที่นอน เพื่อให้คุณสามารถนอนหลับได้อย่างสบายและปลอดภัยจากปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

หากหมอนหรือที่นอนของคุณเริ่มเสื่อมสภาพ คุณอาจพบอาการดังต่อไปนี้:

  1. อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
    ปวดคอ: หมอนที่แบนหรือไม่สามารถรองรับศีรษะและคอได้อย่างเหมาะสม ทำให้เกิดความเครียดต่อข้อต่อและกล้ามเนื้อ (Stress force) อาจทำให้เกิดอาการปวดคอได้ปวดหลัง: ที่นอนที่เสื่อมสภาพ ไม่สามารถรองรับสันหลังให้อยู่ในแนวที่ถูกต้องได้ รู้สึกจมลงไปกับที่นอน ส่งผลให้ข้อต่อเกิดแรงกดต่อกัน (Shear and Compression force) และกล้ามเนื้อต้องทำงานตลอดทั้งคืน (Over active)  อาจส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังได้
    ปวดไหล่และแขน: หมอนหรือที่นอนที่เสื่อมสภาพ อาจทำให้ร่างกายอยู่ในท่าที่ผิดรูปทรง ทำให้ปุ่มกระดูกถูกกดทับตลอดทั้งคืน (Compression force) และส่งผลให้เกิดอาการปวดไหล่และแขนได้
  1. อาการแพ้และระบบทางเดินหายใจ
    น้ำมูกไหล คัดจมูก หายใจไม่สะดวก: การสะสมของเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา และไรฝุ่น ในหมอนและที่นอนที่เสื่อมสภาพ อาจทำให้เกิดอาการน้ำมูกไหลได้ (Respiratory infection)
  1. อาการระหว่างนอนและหลังตื่นนอน
    นอนไม่หลับ: หมอนและที่นอนที่เสื่อมสภาพ อาจทำให้นอนไม่หลับสนิทและตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกไม่สบายตัว โดยส่งมาจากระยะหลับลึก (Slow wave sleep) น้อยลงอาการปวดเมื่อยตอนตื่นนอน: การนอนบนหมอนและที่นอนที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามร่างกายตอนตื่นนอน โดยมักทำให้มีการสะดุ้งตื่นระหว่างคืนและลดระยะเวลาช่วงการนอน (Sleep cycle)

วิธีการตรวจสอบหมอนและที่นอนที่เสื่อมสภาพ

1.ตรวจสอบรูปร่างที่เปลี่ยนไป

- หมอน: หากหมอนเริ่มแบนหรือไม่สามารถคืนรูปได้หลังจากการใช้งาน อาจหมายความว่าหมอนเสื่อมสภาพแล้ว ควรเปลี่ยนหมอนใหม่เพื่อให้การรองรับศีรษะและคอเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- ที่นอน: หากที่นอนมีการยุบตัวหรือมีจุดที่นุ่มลงอย่างเห็นได้ชัด ควรพิจารณาเปลี่ยนที่นอน เนื่องจากอาจไม่สามารถรองรับน้ำหนักของร่างกายได้อย่างเหมาะสม

2.ตรวจสอบความสะอาด

- ตรวจสอบว่าหมอนและที่นอนมีคราบสกปรกหรือไม่ หากพบคราบสกปรกหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ อาจหมายความว่าคุณควรทำความสะอาดหรือเปลี่ยนใหม่
- ควรทำความสะอาดหมอนและที่นอนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรคและฝุ่น

3.ตรวจสอบอายุการใช้งาน

- หมอนควรเปลี่ยนทุก 1-2 ปี ในขณะที่ที่นอนควรเปลี่ยนทุก 7-10 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทและการใช้งาน

ทำไมต้องเปลี่ยนหมอนและที่นอน?

1.การรองรับสรีระที่เหมาะสม: หมอนและที่นอนที่เสื่อมสภาพไม่สามารถรองรับสรีระของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามร่างกายและส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับ

2.สุขภาพที่ดี: การนอนบนหมอนและที่นอนที่สะอาดและใหม่จะช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค เช่น แบคทีเรียและเชื้อรา ที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้และปัญหาสุขภาพอื่นๆ

3.การนอนหลับที่มีคุณภาพ: หมอนและที่นอนใหม่จะช่วยให้คุณนอนหลับได้อย่างสบายและสนิทมากขึ้น ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นและไม่มีอาการปวดเมื่อย

4.การลงทุนในสุขภาพ: การเปลี่ยนหมอนและที่นอนเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในสุขภาพของคุณในระยะยาว เพราะการนอนหลับที่มีคุณภาพจะส่งผลดีต่อสุขภาพกายและจิตใจ

หากคุณพบอาการที่บ่งบอกถึงการเสื่อมสภาพของหมอนและที่นอน อย่ารอช้า! การเปลี่ยนหมอนและที่นอนใหม่จะช่วยให้คุณมีการนอนหลับที่ดีขึ้นและส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมของคุณในอนาคต.

Back to blog