7 นโยบายสำหรับองค์กรเพื่อ Work Life Balance ดีที่ฉบับปี 2024

7 นโยบายสำหรับองค์กรเพื่อ Work Life Balance ดีที่ฉบับปี 2024


บทนำ


ตั้งแต่ปี 2024  การสร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิต หรือ Work-Life Balance กลายเป็นประเด็นร้อนที่องค์กรชั้นนำทั่วโลกให้ความสำคัญ ความพึงพอใจในการทำงานลดน้อยลงเรื่อยๆ อัตราการลาออกของพนักงานก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกองค์กร ซึ่ง Balance ในการทำงานเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ในการลดอัตราการลาออก หากคุณเป็นผู้บริหาร พนักงาน HR หรือพนักงานที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในที่ทำงาน บทความนี้ จะเป็นแนวทางให้คุณสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

สารบัญ

บทนำ

ท้ายบทความ

 

การทำงานแบบเวลายืดหยุ่น (Flexible Working)

 

 

การทำงานแบบเวลายืดหยุ่น (Flexible Working) เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่องค์กรสมัยใหม่นำมาใช้เพื่อส่งเสริม Work Life Balance ให้กับพนักงาน ในยุคที่เส้นแบ่งระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานเริ่มแยกกันไม่ออก นโยบายเวลาทำงานยืดหยุ่นเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถปรับชั่วโมงการทำงานให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตของตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับเวลาทำงานแบบดั้งเดิม 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ทั้งนี้เพราะแต่ละคนมีช่วงเวลา Peak Productivity ที่แตกต่างกัน บางคนอาจทำงานได้ดีที่สุดในช่วงเช้าตรู่ ขณะที่บางคนอาจรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีไอเดียสร้างสรรค์มากกว่าในช่วงบ่ายหรือค่ำ องค์กรอาจนำนโยบาย Flextime มาใช้ โดยกำหนดช่วงเวลาหลักที่ทุกคนต้องอยู่พร้อมกัน สามารถยืดหยุ่นเวลาเข้า-ออกงานได้ตามความเหมาะสม แต่ต้องทำงานให้ครบชั่วโมงที่กำหนดไว้



ลดเวลาทำงานเพื่อเพิ่มผลิตภาพ

 

 

ในปัจจุบันการทำงานหนักใช้เวลางานเยอะไม่ใช่คำตอบเดียวของความสำเร็จ การลดเวลาทำงานเพื่อเพิ่มผลิตภาพกลับเป็นแนวคิดที่น่าสนใจและมีหลายๆองค์กรเริ่มนำปรับมาใช้ หลายองค์กรใหญ่ๆ ได้ปรับเอาการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จริง ซึ่งผลที่ได้คือสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างน่าประหลาดใจ ตัวอย่างเช่น Kickstarter แพลตฟอร์มระดมทุนชื่อดังระดับโลก ได้ริเริ่มทดลองใช้นโยบายการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่ง บรรยากาศในที่ทำงานดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พนักงานมีกิจกรรมในช่วงวันหยุดมากขึ้น เกิดการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง มีการแบ่งปันเรื่องราวระหว่างกันมากยิ่งขึ้น ทุกวันจันทร์ พนักงานกลับมาทำงานด้วยความสดชื่น พร้อมที่จะสร้างสรรค์ผลงาน ด้วยเวลาทำงานที่น้อยลง พวกเขาจำเป็นต้องคิดค้นวิธีการทำงานที่ฉลาดขึ้น ส่งผลให้การทำงานเป็นระบบมากยิ่งขึ้น นโยบายนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริม Work Life Balance แต่ยังส่งผลดีต่อบริษัทโดยรวม ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พนักงานมีเวลาพักผ่อนเพียงพอ ทำให้กลับมาทำงานด้วยพลังและความคิดสร้างสรรค์เต็มเปี่ยม

 

มุ่งสู่ Work Life Integration

 

 

แนวคิด Work Life Integration กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น แทนที่จะพยายามแบ่งแยกงานกับชีวิตอย่างเด็ดขาด เรามองว่าทั้งสองส่วนนี้เป็นเรื่องเดียวกัน หลอมรวมเป็นภาพใหญ่ของชีวิต การมุ่งสู่ Work Life Integration เน้นการหาจุดสมดุลที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ไม่ยึดติดกับกรอบเวลาทำงานแบบตายตัว แต่เน้นความยืดหยุ่นในการจัดสรรเวลา ทั้งเวลาทำงานและเวลาส่วนตัว องค์กรที่เข้าใจแนวคิดนี้จะให้ความสำคัญกับผลลัพธ์และประสิทธิภาพของงานมากกว่าจำนวนชั่วโมงทำงาน พนักงานสามารถทำงานในเวลาที่ตนเองมีประสิทธิภาพสูงสุด ขณะเดียวกันก็มีเวลาดูแลตนเองและครอบครัวได้อย่างเต็มที่ การสร้าง Work Life Balance ในรูปแบบนี้ช่วยให้พนักงานรู้สึกเป็นเจ้าของชีวิตตนเองมากขึ้น ส่งผลให้มีความสุขในการทำงานที่สูงขึ้นด้วย

 

วิธีการนำ Work-Life Integration มาใช้

 

  • ยืดหยุ่นเวลาการทำงาน (Flexible Hours) ไม่จำเป็นต้องเข้า-ออกงานตามเวลาที่กำหนดตายตัว แต่สามารถจัดสรรเวลาทำงานได้เองตามความเหมาะสม
  • ทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Remote Working)  ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน สามารถทำงานจากที่บ้านหรือที่อื่นๆ ได้
  • มีสวัสดิการที่ยืดหยุ่น (Customizable Perks) องค์กรจัดสวัสดิการที่เหมาะสมกับความต้องการของพนักงานแต่ละคน
  • สนับสนุนการเรียนรู้ (Invest in Training) องค์กรส่งเสริมให้พนักงานได้พัฒนาตนเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
  • จัดสรรเวลาให้เหมาะสม แบ่งเวลาทำงานและเวลาส่วนตัวให้สมดุล ไม่ให้งานรุกล้ำเวลาพักผ่อนมากเกินไป
  • ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ ใช้แอปพลิเคชันและเครื่องมือต่างๆ ช่วยในการบริหารจัดการเวลาและงาน
  • สื่อสารกับทีมอย่างชัดเจน แจ้งให้เพื่อนร่วมงานทราบถึงตารางเวลาและการทำงานของตน เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น

 

การจำกัดชั่วโมงการทำงาน 

 

 

องค์กรชั้นนำหลายแห่งกำลังปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อกำหนดชั่วโมงทำงานที่เหมาะสม โดยมุ่งเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ แทนที่จะส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานหนัก องค์กรเหล่านี้กลับส่งเสริมให้พนักงานใช้เวลาพักอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเติมพลังและความคิดสร้างสรรค์ พวกเขาเชื่อว่าการทำงานอย่างชาญฉลาดสำคัญกว่าการใช้เวลาทำงานมาก นโยบาย “ปิดการทำงาน” หลังเวลาเลิกงานกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยจำกัดการติดต่อเรื่องงานนอกเวลา เพื่อให้พนักงานได้พักผ่อนอย่างแท้จริง

 

การจัดการภาระงานอย่างเหมาะสม 

 

 

แนะนำให้องค์กรเห็นความสำคัญกับการประเมินและจัดสรรงานอย่างเป็นธรรม เพื่อป้องกันไม่ให้พนักงานต้องแบกรับภาระงานมากเกินไป การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเป็นอีกวิธีที่ใช้ได้ ปัจจุบันมีเครื่องมือมากมายสามารถช่วยทำงานได้ และลดเวลาในการทำงานที่ซ้ำซ้อน องค์กรยังควรสอนทักษะการจัดการเวลาและการจัดลำดับความสำคัญให้กับพนักงาน การวิเคราะห์และจัดลำดับความสำคัญของงานช่วยให้พนักงานมุ่งเน้นไปที่งานที่สร้างผลกระทบสูงสุด การใช้หลักการ 80/20 ในการบริหารเวลาเป็นแนวคิดที่มีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้น 20% ของงานที่สร้างผลลัพธ์ 80% ช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น นอกจากนี้ การมอบหมายงานให้เหมาะสมกับความสามารถของแต่ละคนก็เป็นสิ่งสำคัญ เมื่อพนักงานได้ทำงานที่ตรงกับความถนัด พวกเขาจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุขมากขึ้น

 

สนับสนุนการใช้วันลาหยุด และไม่ทำงานวันหยุด

 

 

การสนับสนุนให้พนักงานใช้วันลาหยุดและไม่ทำงานในวันหยุดเป็นหัวใจสำคัญของการสร้าง Work Life Balance ที่ดี ปัจจุบันองค์กรชั้นนำต่างตระหนักถึงความสำคัญของการพักผ่อนที่เพียงพอ จึงออกแบบนโยบายวันลาที่ยืดหยุ่นเพื่อตอบสนองความต้องการของพนักงานที่หลากหลาย นโยบายวันลาที่ยืดหยุ่นอาจรวมถึงการให้พนักงานสะสมวันลาได้ หรือเลือกใช้วันลาในช่วงเวลาที่เหมาะสมกับตนเอง บางบริษัทถึงขั้นนำเสนอ "วันลาไม่จำกัด" เพื่อแสดงถึงความไว้วางใจในวิจารณญาณของพนักงาน การส่งเสริมให้พนักงานใช้วันลาพักผ่อนอย่างเต็ม ผู้บริหารควรเป็นแบบอย่างในการใช้วันลา และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ตำหนิการลาหยุด แต่กลับมองว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อประสิทธิภาพการทำงาน 



สร้างวัฒนธรรมองค์กร Work-Life Balance เคารพช่วงเวลาไม่ทำงาน 

 

 

ในองค์กรควรมีวัฒนธรรมที่เคารพ Work Life Balance เช่นการออกนโยบาย "ตัดการเชื่อมต่อ" นอกเวลางาน เสมือนเมื่อประตูออฟฟิศปิดก็ให้ละทิ้งทุกอย่างเอาไว้ พ่อนคล้ายและกลับบ้านได้  ไม่ต้องกังวลกับข้อความหรืออีเมลงานที่อาจเข้ามารบกวนยามค่ำคืน ให้พนักงานได้พักผ่อนอย่างแท้จริง องค์กรควรส่งเสริมให้ทุกคนเคารพเวลาส่วนตัวของกันและกัน งดเว้นการติดต่อเรื่องงานนอกเวลา เว้นแต่จำเป็นจริงๆ เหมือนการให้เกียรติพื้นที่ส่วนตัวของแต่ละคน สื่อสารให้ผู้บริหารและหัวหน้างานตระหนักถึงความสำคัญว่าการหยุดพักทุกอย่าง เป็นเหมือนการพักเติมน้ำมันให้รถยนต์ เพื่อให้วิ่งได้ไกลยิ่งขึ้น

 

ท้ายบทความ

 

การสร้าง Work Life Balance ในองค์กรที่ดีต้องอาศัยเวลา ความอดทน และการดูแลเอาใจใส่ในการปรับอย่างต่อเนื่อง เหมือนการเริ่มปลูกต้นไม้เล็กๆ ในองค์กร แต่เมื่อต้นไม้นั้นเติบโตขึ้น มันจะให้ร่มเงาและผลผลิตแก่องค์กรและทุกคนในองค์กร ผมเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ องค์กรที่ให้ความสำคัญกับ Work Life Balance จะกลายเป็นที่หมายปองของคนทำงานใน Gen ใหม่ๆ และลดอัตราการลาออกได้อย่างแน่นอน คุณคิดว่าวิธีใดในบทความนี้สามารถเอาไปปรับใช้ในองค์กรของคุณได้บ้าง? อย่าลืมเอาไปปรับใช้หละ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดี!

Back to blog